เทคนิคซื้อ “ทอง” ให้ได้กำไรเวลาขายออก

เทคนิคดีๆในการเลือกซื้อทองคำเพื่อประโยชน์ในระยะยาว ไม่ว่าจะเก็บสะสมหรือต้องขายคืนก็ยังมีมูลค่าได้ราคาดี มีดังนี้

1.หากซื้อทองรูปพรรณ ให้สังเกตชิ้นงานทอง ว่ามีตอกตราสัญลักษณ์ยี่ห้อหรือผู้ผลิต และระบุเปอร์เซ็นทองชัดเจนหรือไม่ถ้าเป็น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ จะระบุไว้ที่ตะขอ หรือช่วงที่เชื่อมต่อกับห่วงเกี่ยวขอ ส่วนแหวนจะระบุด้านในของวงแหวน เป็นต้น เพราะทองคำที่มีตราสัญลักษณ์ยี่ห้อหรือผู้ผลิต และระบุเปอร์เซ็นทองไว้ที่ชิ้นงานชัดเจน เมื่อขายคืนก็จะได้เปรียบกว่าชิ้นที่ไม่มีตรา

2.เมื่อซื้อทองคำแท่งและทองรูปพรรณ ทางร้านค้าทองต้องชั่งน้ำหนักทองให้ลูกค้าดู หากไม่ได้ชั่ง สามารถแจ้งให้ทางร้านชั่งน้ำหนักให้ดูได้ โดยทองคำแท่ง 96.5% น้ำหนักมาตรฐานจะอยู่ที่ 1 บาททอง หนัก 15.244 กรัม ส่วนทองรูปพรรณ 96.5% น้ำหนักมาตรฐานจะอยู่ที่ 1 บาททอง หนัก 15.16 กรัม

3.หากซื้อทองคำแท่ง โดยเฉพาะทองคำแท่งขนาดเล็กกว่า 5 บาท ให้เลือกแบบที่มีซีลพลาสติก เพราะทองคำที่ถูกซีลพลาสติกช่วยลดรอยตำหนิ การบุบ ที่ทำให้น้ำหนักทองหายไประหว่างที่เก็บ ไม่ควรแกะซีลพลาสติกนี้หากไม่จำเป็น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการให้ราคารับซื้อคืนเมื่อนำไปขาย

4.ควรแยกทองรูปพรรณที่ซื้อมาสำหรับสวมใส่ใช้งานประจำ กับชิ้นที่ซื้อมาเก็บไว้เผื่อขาย โดยชิ้นที่ซื้อมาเก็บไว้เผื่อขายอาจไม่ต้องเน้นความสวยงาม เพราะลวดลายที่สวยงามจะมีค่ากำเหน็จสูง และไม่นำมาวนสวมใส่บ่อย ควรเก็บใส่ถุงผ้าหรือกล่องที่ภายในมีบุวัสดุเนื้อนุ่มเพื่อไม่ให้เกิดรอยตำหนิมาก ส่งผลดีต่อการให้ราคารับซื้อคืนเมื่อนำไปขาย

5.หากทางร้านค้ามีใบ Certificate หรือใบรับรองว่าเป็นสินค้าที่ได้ซื้อมาจากทางร้าน ควรเก็บใบนี้ไว้กับทองเมื่อนำไปขายคืนให้นำใบนี้ไปด้วย

6.หากเป้าหมายของการซื้อทอง คือ ซื้อเก็บเพื่อขายในช่วงราคาทองขึ้น ควรซื้อเป็นทองคำแท่งเพราะเวลาซื้อ ค่าบล็อคของทองคำแท่งจะถูกกว่าค่ากำเหน็จของทองรูปพรรณ อีกทั้งเมื่อขายทองคำแท่งคืน ราคารับซื้อจะสูงกว่าทองรูปพรรณ และการนำไปขายคืนที่ร้านเดิมที่ไปซื้อมาก็จะได้ราคาดีกว่าขายคืนต่างร้าน

ขอบคุณข้อมูลเครดิตจาก www.sanook.com